
วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ดอกไม้ที่บานทุกๆ 3,000 ปี

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ความหมายของดอกไม้ประจำวันเกิด

เป็นคนจริงจังกับความรัก และเลือกมาก ดอกไม้แห่งความรักของคนเกิดวันอาทิตย์ คือ ดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งหมายถึงความมั่นคงและความสุขที่ยั่งยืน ความอ่อนโยนทะนุถนอมซึ่งกันและกัน

พลังสีเหลืองของวันจันทร์มีอิทธิพลต่อความสงบเป็นสีแห่งการหลับใหลและความสุขยามค่ำคืน และการพักผ่อน ความรักของคุณเริ่มต้นด้วยความสับสนและความหลายใจของคุณแล้วจึงหาความสุขอ่อนหวานที่แท้จริง คุณไม่ชอบคนก้าวร้าว ดอกไม้แห่งคามรักของคนเกิดวันจันทร์ คือ ดอกเบญจมาศสีเหลือง สื่อความหมายถึง ความสุขเต็มหัวใจเหมือนพระจันทร์

เป็นดาวแห่งสงครามและการต่อสู้แต่นำไปสู่สันติภาพในบั้นปลายชีวิต คนเกิดวันอังคารเป็นยอดนักสู้แต่บางครั้งดูซื่อๆ เหมือนไม่ทันคน แต่มีความอ่อนโยนในคำพูด ความคิด ดอกไม้แห่งความรักของท่านคือ ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึง มิตรภาพที่เริ่มต้นด้วยสันติภาพของหัวใจความเป็นอิสระแห่งความรัก และการเริ่มต้น มีความมั่นคงในความรัก
มีความรักที่แน่วแน่ ดอกหน้าวัว สีเขียว จึงเหมาะแก่ผู้เกิดวันนี้ มีความหมายแห่งความรักที่ดีมาก เพราะหมายถึงการเริ่มต้นของชีวิตที่นำไปสู่การงอกงามชั่วนิรันดร์
ชีวิตของคุณกว่าจะพบความสำเร็จเหน็ดเหนื่อยมาก เส้นทางชีวิตที่ดีได้มาด้วยสติปัญญาโดยแท้เป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตนอยุ่เสมอ แต่เวลามีทิฐิ ก็รั้งไม่อยู่เลยทีเดียวดอกไม้แทนความรักของคุณ คือ ดอกบัว รอวันเบิกบานแห่งปัญญาของชีวิต ความรักของคุณจึงเป็นความเข้าใจและร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมาจนมีฐานะมั่นคง
เป็นดาวที่แสวงหาไม่มีที่สิ้นสุด การได้มาเป็นเรื่องเหนือธรรมดา สิ่งที่ต้องการของคนเกิดวันนี้คือ แสงสว่างแห่งความรักที่มาจากใจ แสวงหาการลงตัว คุณชอบดอกไม้ที่หอม อ่อนโยนผสมกัน ดอกไม้ที่เหมาะคือ ดอกลิลลี่สีส้มหรือ ลิลลี่สีชมพู
มักมีคนอุปถัมภ์เสมอ ใช้เวลาในการรอคอยเพื่อคู่ครองที่แท้จริง แม้จะนานแค่ไหนเป็นคนมีความรักจริงแต่ชอบสนุก หรืออดไม่ได้ที่จะขอเปรี้ยวบ้าง ดอกไม้แห่งรักของคนเกิดวันเสาร์ คือ ดอกเยบีร่าสีม่วง
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ข้อควรระวังในการรับประทานดอกไม้
เมื่อได้มาบอกเล่าเรื่องการรับประทานอาหารดอกไม้กันแล้ว เมื่อมีประโยชน์แต่ทุกอย่างก็ต้องมีข้อควรระวัง ลองเก็บไปปฏิบัติกันดูนะคะ
1.ควรเป็นดอกไม้ที่ไม่มีพิษ รู้จัก และแน่ใจว่ารับประทานได้เท่านั้น
2.ควรหลีกเลี่ยงดอกไม้ข้างทางโดยเฉพาะดอกไม้ในเมือง เพราะกักเก็บสารพิษ สารเคมี ปรอทหรือตะกั่วไว้มาก
3.ไม่ควรรับประทานดอกไม้ที่ประดับมากับจานอาหาร หากไม่แน่ใจว่าสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย
4.ควรศึกษาคุณสมบัติของดอกไม้แต่ละชนิดให้ดี เพราะดอกไม้บางชนิดอาจมีคุณสมบัตแฝงที่เป็นพิษ เช่น ดอกเข็มสามารถนำมารับประทานได้ทุกสี ยกเว้นดอกเข็มหอมหรือเข็มขาวที่ไม่สามารถนำมา รับประทานเพราะมีสารที่เป็นอันตราย ส่วนดอกลั่นทมขาวจะมียางที่เป็นพิษ จึงควรใช้แต่ดอกที่ร่วงแล้ว
5.การนำมาปรุงอาหารควรเลือกวิธีให้เหมาะสม กับดอกไม้แต่ละชนิด เช่น บางชนิดเหมาะกับการทำให้สุกก่อน หรือบางชนิดสามารถรับประทานสดๆ ได้
6.ควรป้องกันการแพ้ดอกไม้ เรณู หรือเกสรจากการรับประทาน ดังนั้นก่อนนำมาทำเป็นอาหาร จึงควรแยกเอาเกสรออกก่อน หากรับประทานแล้วเกิดการแพ้ ควรหยุดรับประทานดอกไม้นั้นเสีย
7.ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมในการปรุงอาหาร เพราะความร้อนจะทำให้เกิดสารละเลายจากอะลูมิเนียม ไปผสมกับส่วนผสมของดอกไม้ได้
1.ควรเป็นดอกไม้ที่ไม่มีพิษ รู้จัก และแน่ใจว่ารับประทานได้เท่านั้น
2.ควรหลีกเลี่ยงดอกไม้ข้างทางโดยเฉพาะดอกไม้ในเมือง เพราะกักเก็บสารพิษ สารเคมี ปรอทหรือตะกั่วไว้มาก
3.ไม่ควรรับประทานดอกไม้ที่ประดับมากับจานอาหาร หากไม่แน่ใจว่าสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย
4.ควรศึกษาคุณสมบัติของดอกไม้แต่ละชนิดให้ดี เพราะดอกไม้บางชนิดอาจมีคุณสมบัตแฝงที่เป็นพิษ เช่น ดอกเข็มสามารถนำมารับประทานได้ทุกสี ยกเว้นดอกเข็มหอมหรือเข็มขาวที่ไม่สามารถนำมา รับประทานเพราะมีสารที่เป็นอันตราย ส่วนดอกลั่นทมขาวจะมียางที่เป็นพิษ จึงควรใช้แต่ดอกที่ร่วงแล้ว
5.การนำมาปรุงอาหารควรเลือกวิธีให้เหมาะสม กับดอกไม้แต่ละชนิด เช่น บางชนิดเหมาะกับการทำให้สุกก่อน หรือบางชนิดสามารถรับประทานสดๆ ได้
6.ควรป้องกันการแพ้ดอกไม้ เรณู หรือเกสรจากการรับประทาน ดังนั้นก่อนนำมาทำเป็นอาหาร จึงควรแยกเอาเกสรออกก่อน หากรับประทานแล้วเกิดการแพ้ ควรหยุดรับประทานดอกไม้นั้นเสีย
7.ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมในการปรุงอาหาร เพราะความร้อนจะทำให้เกิดสารละเลายจากอะลูมิเนียม ไปผสมกับส่วนผสมของดอกไม้ได้
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เคล็ดลับการปรุงอาหารดอกไม้


ผู้ปรุงอาหารดอกไม้ควรรู้จักคุณลักษณะของดอกไม้ และกลวิธีการปรุงอาหารดอกไม้ตามคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ของดอกไม้ด้วย
1. ลั่นทมขาว ต้องเก็บเฉพาะดอกที่ร่วงหล่นจากต้นใหม่ๆ หากเด็ดจากกิ่งจะกินไม่ได้ เพราะมียางพิษมาก การรับประทานให้รับประทานเฉพาะกลีบดอกเท่านั้น เพราะส่วนที่ติดกับกลีบเลี้ยงจะขม
2. ดอกแค ให้เด็ดเกสรออกก่อนเพื่อช่วยลดความขม
3. ดอกชบา ควรเก็บช่วงเย็น และควรเลือกใช้ดอกชบาที่มีกลีบดอกหน
4. ดอกเข็ม ใช้ทำอาหารได้ทุกสี ยกเว้นสีขาว เพราะดอกเข็มขาวมีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์คล้ายไซยาไนต์ ซึ่งมีอันตราย
5. ดอกกุหลาบ มีรสฝาด เมื่อนำมาประกอบอาหารควรกลบรสฝาดด้วยมะนาวหรือเกลือ เพื่อให้หายเฝื่อน
6.ดอกสะเดาและยอดอ่อน ควรลวกก่อนเพื่อลดความขม
7. ดอกอัญชัญ สีตกง่าย อาจทำให้อาหารดูไม่น่ารับประทาน
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เมนูอาหารดอกไม้

ไข่เจียวดอกขจร, เต้าหู้นิ่มผัดกุ้ยช่ายขาวกับกุ้ง, แกงจิ้มส้มกับดอกผักปลัง, ลีลาวดีสอดไส้, ยำดอกขจร, ยำสะเดากับกุ้งย่าง, ดอกแคแปรรูป, ยำเกสรชมพู่
อาหารคาว/อาหารว่าง
อาหารคาว/อาหารว่าง
แกงจีดพวงชมพู, แกงส้มปลาช่อนกับดอกผักปลัง, ขจรโสนโสภา, ยำดอกดาหลากับปลาสลิด,แกงส้มดอกขจร,ยำดอกไม้, โปตั๋นชมสวน
ของหวาน
บุปผามัจฉา, สลัดซู่ซ่า, มัจฉาชมสวน, ดาวเรืองทอดเครื่องแกง, ยำเข็มแดง ,สมุนไพรดอกเข็มกรอบ, ขนมจีนน้ำยาแนมกุหลาบ ,ลูกกวาดกลีบดอกไม้, เค้กดอกโสน มัฟฟินกุหลาบ , ขนมบุษบา
เครื่องดื่ม
พั้นซ์กระเจี๊ยบ ,ปุยเมฆสามชั้น, ชากุหลาบ ,ชาบีบาล์ม, ชาเบญจมาศ, น้ำกระเจี๊ยบจาไมก้า, น้ำตะไคร้ดอกอัญชัฐ
ของหวาน
บุปผามัจฉา, สลัดซู่ซ่า, มัจฉาชมสวน, ดาวเรืองทอดเครื่องแกง, ยำเข็มแดง ,สมุนไพรดอกเข็มกรอบ, ขนมจีนน้ำยาแนมกุหลาบ ,ลูกกวาดกลีบดอกไม้, เค้กดอกโสน มัฟฟินกุหลาบ , ขนมบุษบา
เครื่องดื่ม
พั้นซ์กระเจี๊ยบ ,ปุยเมฆสามชั้น, ชากุหลาบ ,ชาบีบาล์ม, ชาเบญจมาศ, น้ำกระเจี๊ยบจาไมก้า, น้ำตะไคร้ดอกอัญชัฐ
เมนูดอกไม้



1. รับประทานสด เช่น รับประทานกับน้ำพริก หรือเป็นเครื่องแนมอาหารประเภทลาภ ส้มตำ ขนมจีน หรือรับประทานกับสลัดผักผลไม้
2. ชุบแป้งทอด
3. ปิ้งย่าง เหมาะสำหรับดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ดอกเพกา สามารถสอดไส้เครื่องเข้าไปข้างในได้
4. ยำ อาจใช้ดอกไม้ชนิดเดียวหรือหลายชนิดยำรวมกัน แต่ไม่ควรยำทิ้งไว้นาน นอกจากนี้ดอกไม้บางชนิดควรลวกก่อนยำด้วย
5. แกง ทั้งแกงเผ็ดและแกงจืด ดอกไม้ที่ใช้ควรเป็นดอกไม้ที่โดนความร้อนแล้วสีไม่ซีด หรือทำให้รสชาดเปลี่ยน
6. ลวก นึ่ง ต้ม รับประทานเป็นเครื่องเคียงน้ำพริก
7. ผัด ดอกไม้ที่จะนำมาผัดควรมีกลีบหนาพอสมควร
8. ดอง ในกรณีที่ดอกไม้มีมาก ไม่สามารถรับประทานหมดในวันเดียว
9. ขนม ดอกไม้หลายชนิดมีสีสันสวยงาม เหมาะทำขนม เช่น ดอกอัญชัน กุหลาบ กระเจี๊ยบ เป็นต้น
วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ความหมายของดอกไม้(เพิ่มเติม)

ดอกพีโอนี เป็นตัวแทนของ ความอาย และความสวยงาม.
เป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำ ถ้าอยากบอกใครว่าคุณยังจดจำเขาไว้ในใจไม่เคยลืมก็ควรมอบดอกโรสแมรี่ให้แก่ใครคนนั้น------------------------นั่นแปลว่าคุณมักจะอยู่ในอดีต โดยที่คุณจะจำฝังใจความทรงจำเรื่องดีหรือเรื่องร้าย คุณก็ยังจำๆๆๆๆๆๆ อยู่นั่นเหมือนคนโง่ ที่รู้ว่าจำแล้วเจ็บก็ยังจำ

เป็นดอกไม้แห่งการย้ำเตือนไม่ให้ลืมกัน นิยมใช้ดอกไม้นี้มอบแก่กันในโอกาสจากลา หรือส่งไปให้แก่คนที่อยู่ห่างไกล-------------------------------คุณต้องระวังแล้วนี่เป็นการเตือนว่าคุณจะต้องพบกับการจากลา เพราะฉะนั้น คุณควรห่างจากดอกไม้นี้ไว้ดีกว่านะไม่อย่างนั้น คุณอาจจะไม่ได้เจอคนๆ นั้นอีก เพราะคำสาปจากดอกไม้ชนิดนี้นั่นเอง

ดอกกระถินหรืออะคาเชีย เป็นดอกไม้แห่งความมั่นคง การให้ดอกกระถิน บ่งบอกถึงการแสดงหัวใจรักที่แท้จริงและมั่งคงได้อย่างตรงไปตรงมาในแบบไทยโบราณ --------------------------------------------ถ้าคุณได้ดอกไม้ดอกนี้จากคนที่คุณรักหรือคนสำคัญของคุณล่ะก็อย่าเพิ่งกรี๊ดล่ะ กลับไปกรี๊ดที่บ้านเถอะ ฮ่าๆมันเป็นสุดยอดดอกไม้ที่แสดงความจริงใจมากเลยนะเค้ารักคุณมากแค่ไหน ก็ตอบแทนความรักที่เค้ามีให้ให้มากกว่าๆ เลยนะจ๊ะ
มรกตแดงหรือฟิโลเดนดรอน เป็นต้นไม้แห่งเสน่ห์และยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีคุณค่าสูงอีกด้วย-----------------------------------------------คุณเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดเลยแหละเพราะคุณจะได้เป็นคนสำคัญของคนๆ หนึ่งที่เค้ารักคุณสุดหัวใจเพราะฉะนั้น คุณควรรักษาความรัก หรือความเป็นเพื่อนที่มีอยู่ให้ดีนะเดียร์ล่ะอิจฉาคนที่ได้ดอกไม้ดอกนี้เหลือเกิน ^^
ดอกไม้แห่งหัวใจด้านชา ไม่ควรมอบดอกไม้นี้ให้แก่ผู้ใด นอกจากอยากจะตัดพ้อผู้รับว่า เขาหรือเธอ ช่างเป็นคนใจด้านชาเสียเหลือเกิน---------------------คุณชักจะแย่แล้วนะ ทำไมคุณต้องทำเป็นเก็กเย็นชาตลอดด้วยคุณมักจะไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น มากไปกว่านั้น คุณชอบดูถูกคนอื่นด้วยแย่ๆๆๆๆๆๆๆๆ รีบเปลี่ยนนิสัยตัวเองด่วนเลยดีกว่านะจ๊ะ
เอาหละ วันนี้ก็ได้ความหมายของดอกไม้เพิ่มเติม ซึ่งหลายๆ ชนิด เราๆ อาจไม่คุ้นเคยกันมาก่อนเลย ก็ลองๆ อ่านดู ความหมายของแต่ละชนิด ช่างมีความอ่อนโยน อ่อนหวาน ลึกซึ้ง และเศร้าโศรก เลือกดูเอาแล้วกันนะคะ ว่าคุณอยากเป็นดอกไม้ชนิดไหน....หากมีโอกาส ก็จะสืบค้นมาเล่าสู่กันฟังอีกคร้าๆๆๆๆ...
ดอกไม้กินได้ของต่างประเทศ


วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ดอกไม้กินได้ของไทย
ดอกไม้ใช่ว่า ไว้เป็นเพียงแค่ประดับแจกันให้สวยงาม หากแต่ยังสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ คิดว่า คงมีหลายๆ ท่านที่ได้รับทราบข้อมูลเหล่านี้มาบ้างแล้ว จึงขอนำเสนอเพียงว่า ดอกไม้อะไรบ้าง ที่สามารถรับประทานได้ มาติดตามกันเลยนะคะ
ดอกของพืชผัก : กลุ่มนี้เป็นพื้นฐานที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว
เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำดอกอิตาเลี่ยน (บร๊อคโคลี่) ดอกแคบ้าน ดอกกุยช่าย ดอกเก๊กฮวย ดอกผักกวางตุ้ง ดอกฟักทอง ดอกบวบหอม ดอกกระถิน ดอกหอม ดอกข่า ฯลฯ


เช่น ดอกเข็ม ดอกพวงชมพู ดอกเล็บมือนาง ดอกลั่นทม ดอกดาวเรือง ดอกดาวกระจาย ดอกกุหลาบ ดอกแคฝรั่ง ดอกชบา ดอกซ่อนกลิ่น ดอกเฟื่องฟ้า ฯลฯ
ดอกของไม้ผล :
เช่น ดอกทุเรียน ดอกชมพู่สาแหรก ดอกมะขาม ดอกกล้วย (หัวปลี) ช่อมะม่วง ดอกมะละกอ ฯลฯ
ดอกของต้นไม้ป่าบางชนิด :
เช่น ดอกพะยอม ดอกงิ้ว ดอกแคป่า ดอกแคขน ช่อสะเดา ช่อมะกอก ดอกขี้เหล็ก ดอกกระโดน ดอกลำพู ดอกกุ่มน้ำ ดอกแต้ว ฯลฯ
ดอกของวัชพืชบางชนิด :
เช่น ดอกกะลาหรือดอกดาหลา ดอกบัวสาย ดอกสลิดหรือดอกขจร ดอกข้าวสาร ดอกผักปลัง ดอกผักตบไทย ดอกผักตบชวา ดอกกะแท่ง ดอกบุก ดอกชุมเห็ดเทศ ดอกกระพังโหม ดอกกระทือ ดอกครั่ง ดอกกระเจียว ดอกโสน ดอกบอน ฯลฯ
ดอกของต้นไม้อื่นๆ :
เช่น ดอกนุ่น ปลีตาล จั่นจาก(ดอกจาก) ดอกมะรุม ดอกโศก เป็นต้น
ดอกของพืชผัก : กลุ่มนี้เป็นพื้นฐานที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว
เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำดอกอิตาเลี่ยน (บร๊อคโคลี่) ดอกแคบ้าน ดอกกุยช่าย ดอกเก๊กฮวย ดอกผักกวางตุ้ง ดอกฟักทอง ดอกบวบหอม ดอกกระถิน ดอกหอม ดอกข่า ฯลฯ
ดอกของไม้ประดับ :
ดอกเข็ม ดอกกุ่ยช่าย ดอกฟักทอง


ดอกของไม้ผล :
เช่น ดอกทุเรียน ดอกชมพู่สาแหรก ดอกมะขาม ดอกกล้วย (หัวปลี) ช่อมะม่วง ดอกมะละกอ ฯลฯ
ดอกของต้นไม้ป่าบางชนิด :
เช่น ดอกพะยอม ดอกงิ้ว ดอกแคป่า ดอกแคขน ช่อสะเดา ช่อมะกอก ดอกขี้เหล็ก ดอกกระโดน ดอกลำพู ดอกกุ่มน้ำ ดอกแต้ว ฯลฯ
ดอกของวัชพืชบางชนิด :
เช่น ดอกกะลาหรือดอกดาหลา ดอกบัวสาย ดอกสลิดหรือดอกขจร ดอกข้าวสาร ดอกผักปลัง ดอกผักตบไทย ดอกผักตบชวา ดอกกะแท่ง ดอกบุก ดอกชุมเห็ดเทศ ดอกกระพังโหม ดอกกระทือ ดอกครั่ง ดอกกระเจียว ดอกโสน ดอกบอน ฯลฯ
ดอกของต้นไม้อื่นๆ :
เช่น ดอกนุ่น ปลีตาล จั่นจาก(ดอกจาก) ดอกมะรุม ดอกโศก เป็นต้น
พลัง แห่ง ดอกไม้

- ดอกอายไบรท์ (Eyebright) ซึ่งเป็นดอกไม้สีฟ้า และสีเหลืองตรงกลาง ลักษณะคล้ายดวงตาของคน จะสามารถรักษาความเมื่อยล้าทางสายตา
- ดอกเน็ทเทิล (Nettle) ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น
- ดอกแดนดีไลออน (dandelion) กับ ดอกเซลันดีน (celandine) มีสีเหลือง ใช้รักษาโรคดีซ่าน
นอกจากนี้ชาวอะบอริจินซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย ได้เรียนรู้ถึงคุณประโยชน์ของดอกไม้โดยการกินดอกไม้ทั้งดอก เพื่อให้สารสกัดที่อยู่ในรูปน้ำค้างที่ได้จากการสกัดของแสงอาทิตย์ ถูกกลืน เข้าไปพร้อมดอกไม้ด้วย หรือหากดอกไม้ดังกล่าวกินไม่ได้ ชาวอะบอริจินจะนั่งบนกองดอกไม้เพื่อซึมซับการรักษาจากดอกไม้
เอียน ไวท์ (Ian White) ได้เรียนรู้สรรพคุณทางยาของต้นไม้ และได้ค้นพบสารสกัดจากดอกไม้ 62 ชนิดในออสเตรเลียที่สามารถ นำมาใช้รักษาสภาพจิตใจของมนุษย์ได้ นอกจากนี้ยังได้พัฒนา สารสกัดจากดอกไม้ให้สามารถนำมาใช้กับมนุษย์ได้ทันที เช่น
- สารสกัดที่ใช้ในการเดินทาง เป็นสารสกัดที่ช่วยผ่อนคลายปัญหา และความไม่สบายใจที่เกิดจากการเดินทาง
- สารสกัดสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ช่วยแก้อาการตื่นเต้น และความเครียดที่เกิดจากสถานการณ์วิกฤติต่างๆ ช่วยให้รู้สึกสงบ
การรักษาด้วยดอกไม้ ไม่ได้รักษาที่่ร่างกาย แต่เป็นการรักษาสภาวะ ความสมดุลของอารมณ์และจิตใจ
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
พันธุ์กุหลาบที่ใช้ปลูกเป็นไม้มงคล

1. พันธุ์กุหลาบสีขาว ได้แก่ - Misty Morn - Blanche Mallerine - White Christmas
2. พันธุ์กุหลาบดอกสีเหลือง ได้แก่ - King's Ransom - Golden Master Piece
3. พันธกุหลาบุ์ดอกสีแดง ได้แก่ - Christian Dior - Swarthmore - Scarlet Knight
4. พันธุ์กุหลาบดอกสีชมพู - Bel Ange - Queen Elizabeth
5. พันธุ์กุหลาบดอกสีแสด ได้แก่ - Super Star - Tanya
6. พันธุ์กุหลาบดอกสีม่วง - Blue Moon
2. พันธุ์กุหลาบดอกสีเหลือง ได้แก่ - King's Ransom - Golden Master Piece
3. พันธกุหลาบุ์ดอกสีแดง ได้แก่ - Christian Dior - Swarthmore - Scarlet Knight
4. พันธุ์กุหลาบดอกสีชมพู - Bel Ange - Queen Elizabeth
5. พันธุ์กุหลาบดอกสีแสด ได้แก่ - Super Star - Tanya
6. พันธุ์กุหลาบดอกสีม่วง - Blue Moon
จำนวนดอกกุหลาบ บอกความหมาย

1 หมายถึง รักแรกพบ
2 หมายถึง แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 หมายถึง ฉันรักเธอ
7 หมายถึง คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 หมายถึง เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 หมายถึง คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
11 หมายถึง คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 หมายถึง ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
13 หมายถึง เพื่อนแท้เสมอ
15 หมายถึง ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 หมายถึง ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 หมายถึง ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 หมายถึง ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 หมายถึง ความรักของฉันเป็นรักแท้
99 หมายถึง ฉันรักเธอจนวันตาย
100 หมายถึง ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 หมายถึง ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 หมายถึง คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
999 หมายถึง ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย
สีกุหลาบ บอกความนัย


1.กุหลาบแดงสื่อความหมาย หรือเป็นสัญญลักษณ์ของความรัก และความโรแมนติก ใช้แทนคำพูด “ฉันรักเธอ” หรือ “I love you” ได้ดีที่สุด แถมยังเป็นสัญญลักษณ์ของความสวยงามและความสมบูรณ์แบบ การให้ช่อกุหลาบสีแดงสด ดูจะเป็นวิธีที่สุดแสนโรแมนติกที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกลึกๆ ที่มีต่อคนพิเศษ
2.กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) แทนคำว่า "เธอช่างสวยเหลือเกิน"
3. กุหลาบตูมสีแดง แสดงให้เห็นถึงความรักที่ไร้เดียงสา "รักของฉันเพิ่งแรกแย้ม และอ่อนต่อโลก"

5.กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว เขาอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"

1. ดูหรู สวยสง่า มักใช้เป็นสัญญลักษณ์ หรือบ่งบอกถึง ความรู้สึกชื่นชมต่อผู้รับ หรือบางทีสามารถใช้เป็นสื่อถึงความสดใส มีชีวิตชีวา ถ้าเทียบกับกุหลาบแดงแล้ว ช่อกุหลา่บชมพู จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่อ่อนหวาน อบอุ่นและ นุ่มนวลกว่า
2. กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความงดงามและความอ่อนโยน

1. กุหลาบที่สะท้อนถึงความรู้สึกอบอุ่น แจ่มใส สร้างความรู้สึกอุ่นใจให้กับผู้รับ บางครั้งอาจใช้แทนความรู้สึกดีดี มิตรภาพ และความเป็นเพื่อนแท้
2. กุหลาบสีเหลือง บอกเป็นนัยว่า "ขอเป็นชู้ทางใจ" หรือ หมายถึงความสุข สนุกสนาน ร่าเริง

1.ใสซื่อ บริสุทธิ์ และมักใช้เป็นดอกไม้ประกอบพิธีแต่งงานเพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการเริ่มต้น บางครั้ง ยังใช้สื่อถึงความรู้สึกรักและเทิดทูนที่มีต่อผู้รับ หรือใช้ตกแต่งพิธีการต่างๆ เพื่อแสดงความระลึกถึง หรือความเคารพรัก
2.กุหลาบสีขาว บอกว่า "ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน"
3. กุหลาบตูมสีขาว แสดงถึงความมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไร้เดียงสาในเรื่องความรัก
4.กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว แทนความหมาย "เสน่ห์ของเธอมันจืดจางลงแล้ว"

1.ความร้อนแรง แสดงออกถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้า ความตื่นเต้น ความหลงใหลที่มีต่อผู้รับ ช่อกุหลาบสีส้มดูจะทำให้ผู้รับต้องใคร่ครวญอย่างหนัก เพราะดูเหมือนจะแฝงความนัยไว้มากพอดู
2.กุหลาบสีส้ม เพื่อบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมา

1.กุหลาบม่วงที่ค่อนข้างหายาก ดูแปลกแตกต่าง และมีเสน่ห์ที่มัดหัวใจใครหลายๆ คนให้รู้สึกพิเศษ และสร้างจินตนาการได้อย่างมาก ดูเหมือนมีมนต์ขลังและมีเสน่ห์ลึกลับอย่างบอกไม่ถูก รวมทั้งมักใช้แสดงออกถึงความรักเมื่อแรกพบ
2.ดอกกุหลาบสีม่วงมีความหมายว่า "ความรักที่ซื่อสัตย์และภักดี"

Blue Rose "การรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุด" อีกหนึ่งความหมายก็คือ " ความรักที่ไม่สมหวัง"

Black Rose กุหลาบดำดอกกุหลาบสีดำ ถือว่า มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากดอกกุหลาบสีดำ หาได้เป็นสัญลักษณ์ของ ความรักที่มืดมนไม่หากแต่เป็น กุหลาบสีที่แสดงถึง ความรักที่เป็นนิรันดร์...

หนุ่มสาว คู่รัก วัยหวานท่านใด ต้องการสื่อความหมายในความรักของตนเอง ก็ลองศึกษาดู และเลือกสีของดอกไม้ให้ตรงใจคุณกันนะคะ ขอให้ความรักของทุกๆ คน หวานชื่น เต็มไปด้วยความสุข สมหวังค่ะ
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ตำนานดอกกุหลาบ
เมื่อได้เล่าสู่กันฟังถึงความเป็นมาของวันวาเลนไทน์ และ ดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในวันนี้ ซึ่งนั่นก็คือ "ดอกกุหลาบ" นั่นเอง จึงอยากจะนำเรื่องราว ที่เป็นตำนานของดอกกุหลาบ มาเพื่อให้ลึกซึ้งกันยิ่งขึ้น เชิญติดตามกันเลยนะคะ
กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอนประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมายความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติเลย
ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้ง
ของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย
บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติหรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆเพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรักกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่
ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง
กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ
กุหลาบมาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชียแปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า"ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกันแต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก กุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า


ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้ง
ของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย
กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติกซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่าน้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเองแต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม


กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ
ตำนานดอกกุหลาบในเมืองไทย

มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า
กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง หอมรื่นชื่นชมสอง
นึกกระทงใส่พานทอง หยิบรอจมูกเจ้า
เนืองนองสังวาสก่ำเก้า บ่ายหน้าเบือนเสีย
สำหรับตำนานดอกกุหลาบของไทยเล่ากันว่า เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา
กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?
หลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเองหนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงในสวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง
นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
นึกกระทงใส่พานทอง หยิบรอจมูกเจ้า
เนืองนองสังวาสก่ำเก้า บ่ายหน้าเบือนเสีย
สำหรับตำนานดอกกุหลาบของไทยเล่ากันว่า เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา
กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?

หลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเองหนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงในสวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง
นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
ดอกไม้กับความหมายวันวาเลนไทน์


เทพเจ้าแห่งความรัก "คิวปิด"

ประวัติและความหมายของวันวาเลนไทน์ Valentine's day
วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่งอิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตามยังมีประเพณีอย่างหนึ่งซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด ภายใต้การปกครองของ จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้นกรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตามยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์ และ นักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ ดังนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีจึงถือเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งพวกหนุ่มสาวมักจะรีบไปซื้อบัตรส่งทักทายกันส่งใจถึงกันนับเป็นความนิยมมากขึ้น ประเพณีนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยทีละเล็กละน้อย และดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวนิยมกันมากเป็นพิเศษที่สหรัฐอเมริกาและที่ประเทศอังกฤษนักบุญ วาเลนไทน์ (Valentine) เป็นสงฆ์คาทอลิกองค์หนึ่งที่ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมันคลอดิอุสที่ 2 ( Clanoius) โดยแท้จริงแล้วท่านนักบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีการเลือกคู่ หรือหาคู่ หรือหาแฟน หรือความรัก ความสนใจระหว่างหนุ่มสาว ท่านก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมจึงเลือกนักบุญองค์นี้มาเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับผู้ที่กำลังหาคู่ เลือกคู่หรือเลือกแฟนกันได้เล่า ? เหตุผลที่ค้นพบได้ก็คือที่มาของวันวาเลนไทน์ ไม่ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้ แต่ขึ้นอยู่กับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประเพณีเลือกคู่หรือหาคู่นี้มีมาแต่โบร่ำโบราณในทุกชาติดูเหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ว่าได้ ประเพณีวาเลนไทน์นี้ก็มีต้นเหตุหรือที่มาสมัยที่จักรวรรดิโรมันแผ่อิทธิพลไปทั่ว ชาวโรมันสมัยโบราณมีการฉลองเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ ลูแปร์คูส (Lupercus) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และถือว่าเป็นการฉลองใหญ่ ส่วนหนึ่งของการฉลองใหญ่นี้ก็จะเป็นการจัดงานหาคู่ของพวกหนุ่มสาว ซึ่งจัดขึ้นในวันก่อนวันฉลองใหญ่ 1 วัน คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้จะถือโอกาสให้พวกหนุ่มสาวเสนอตัวเป็นคนรักกันชั่วระยะเวลา 1 ปี ช่วงนี้จะเรียกว่าเป็นช่วงทดลองมิตรภาพเพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีนิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ ชาวโรมันเป็นคนศรัทธาในเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีความเชื่อกันว่าพวกตนมีเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเขาขอให้เป็นผู้ดูแลความรักของเขาในระหว่างช่วงระยะเวลาการทดลองเป็นคู่รักกัน 1 ปี นั้น เทพเจ้าองค์นี้เป็นหญิงชื่อ เทพธิดา Juno Februata ซึ่งตาม เทพนิยายของชาวโรมันเป็นมเหสีของ Jupiter องค์มหาเทพเจ้าทั้งหลาย ครั้นต่อมาเมื่อชาวโรมันส่วนใหญ่กลับใจมาถือศาสนาคริสต์ (ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4) ประเพณีของหนุ่มสาวที่จะหาคู่เพื่อทดลองเป็นคนรักกัน เพื่อจะแต่งงานกันในเวลาต่อไปนั้นก็ยังนิยมทำกันอยู่ แม้ว่าจะเป็นคริสตชนแล้วก็ตาม ฉะนั้นเขาก็ยังรักษาประเพณีการเลือกคู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ตลอดมา เพียงแต่ว่าหนุ่มสาวโรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดาอย่างกาลก่อน เขาจึงหันมาเลือกหานักบุญในคริสตศาสนาที่มี วันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มีนักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง จึงขอยืมชื่อท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์แทนเทพเจ้าเดิมของชาวโรมัน เรื่องราวความเป็นมามีดังนี้ ฉะนั้นถ้าท่านนักบุญมีชีวิตอยู่ท่านอาจรู้สึกงงงวยในตำแหน่งที่หนุ่มสาวได้เลือกตั้งและแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ โดยที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องทางโลกของหนุ่มสาวด้วยเลยแม้แต่น้อย ความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวนั้นเอง ความหมายของการมีวันวาเลนไทน์นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์ ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า "You are my Valentine" ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า "ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง" ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้นให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงามให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคตลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)