วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ดอกไม้ไทยชนิดเถา

การเวก

.....เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ กิ่งก้านค่อนข้างเรียบ มีขนมากเฉพาะที่ตาและยอดอ่อน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน สัณฐานของใบเป็นรูปรีหรือรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ ออกดอกเป็นช่อๆ ละ 1-5 ดอก ก้านช่อดอกแบนและโค้งคล้ายขอ ออกตรงข้ามกับด้านใบ ดอกมีขนาดใหญ่สีเขียวมีขนมาก เมื่อดอกแก่จะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ มีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กสีเขียว ปลายกลีบกระดกขึ้น กลีบดอกเป็นรูปไข่รียาว เรียงเป็น 2 ชั้น ๆ ละ 3 กลีบ มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก เกสรตัวเมียหลายอันอยู่แยกกัน ผลรูปรีป้อมหรือรูปไข่กลับ ออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4-20 ผล เมื่อผลแก่จะเป็นสีเหลือง ออกดอกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งหรือเพาะเมล็ด .....

ปันหยี

.....เป็นไม้เถา เถากลมเกลี้ยงเป็นมัน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ขนาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร รูปทรงป้อมปลายแหลม โคนป้าน ขอบใบเรียบ สีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีอ่อน ก้านใบสั้น ดอกออกเป็นช่อเล็ก ๆ ช่อละ 2-3 ดอก สีขาว ออกตามง่ามใบ มีกลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๆ สีเขียวอ่อน โคนดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ๆ ส่วนปลายดอกเป็นกลีบ แยกออกเป็น 8-9 กลีบ เรียงซ้อนกัน ดอกเมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 7 เซนติเมตร ออกดอกประมาณเดือนมกราคม ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำหรือการตอน .....

เถาไฟหรือโยธกาเลื้อย

.....เป็นไม้เถาขนาดใหญ่ มีมือเกาะ ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีสัณฐานรูปไข่กว้างหรือค่อนข้างกลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ปลายใบเว้าตื้นบ้างลึกบ้าง ปลายใบแฉกแหลมหรือกลม ก้านใบยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ ดอกสีส้มแดง มีขน ดอกตูมกลมปลายแหลมมน กลีบเลี้ยงแยกเป็น 2-3 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ รูปไข่ยาว ประมาณ 1 เซนติเมตร ด้านนอกมีขน เกสรตัวผู้มี 3 อัน ก้านเกสรเล็กยาวกว่ากลีบดอกเล็กน้อย เกสรตัวผู้ฝ่อมี 2 อันเล็ก รังไข่มีขน ฝักรูปบันทัดยาวประมาณ 17 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง .....

ดองดึง

.....เป็นไม้เถาเล็ก มีหัวใต้ดิน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว ออกตามข้อ 1-3 ใบ ใบมีสัณฐานเป็นรูปหอกค่อนข้างยาว ปลายใบเรียวแหลมและโค้งงอเป็นมือเถา โคนใบกว้าง ไม่มีก้านใบ ดอกใหญ่สีแดง เหลือง ออกตามง่ามใบใกล้ยอด ก้านดอกยาว ดอกมี 6 กลีบ รูปร่างยาวแคบ ขอบกลีบเป็นคลื่นไม่เรียบ ปลายกลีบโค้งกว้างลงมาทางก้านดอก เกสรตัวผู้มี 6 อัน ยาวชี้ออกเป็นรัศมีตามแนวนอน ท่อรังไข่ยาว ปลายแยกออกเป็นแฉกเล็ก ๆ 3 แฉก ผลเป็นฝักยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือแยกเหง้า .....

ดอกไม้ไทยชนิดพุ่ม


กาหลง เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 3 เมตร ใบเป็นแบบใบเดี่ยว รูปไข่ ปลายเว้าลึกคล้ายใบแฝด ดอกขาวออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งและกิ่งข้าง ดอกกาหลงมีกลีบ 5 กลีบ เกสร 10 อัน ขนาดต่าง ๆ กัน มีกลิ่นหอมรวยริน ฝักแบนมีเมล็ดประมาณ 5-10 เมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการตอน กาหลงออกดอกได้ตลอดปี .....

กุหลาบ

.....เป็นไม้พุ่มตั้งหรือเลื้อย ใบเป็นใบประกอบ ประกอบด้วย 3 ใบ หรือ 5 ใบ ขอบใบจัก หูใบติดกับก้านใบหรือเป็นอิสระ ดอกออกที่ปลายกิ่ง มีทั้งดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ กลีบรองดอกเป็นรูปถ้วยสีเขียว ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกปกติมี 5 กลีบ เกสรตัวเมียอยู่กลางดอกเป็นผลกลม ภายในมีเมล็ดแข็งจำนวนมาก เกสรตัวผู้มีอยู่เป็นจำนวนมาก กุหลาบมีหลายชนิด หลายพันธุ์ ส่วนใหญ่ดอกมีกลิ่นหอมเย็น การขยายพันธุ์มีหลายแบบ เช่น เพาะเมล็ด ตอน ติดตา และปักชำ .....

กรรณิการ์

.....เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ลำต้นและกิ่งเป็นเหลี่ยม ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวออกเป็นคู่ เรียงตรงข้าม ใบทรงรูปไข่ ขอบใบเรียบหรือมีจักเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง เป็นดอกเดี่ยวมีโคนกลีบติดกัน มีลักษณะเป็นหลอดสีส้ม กลีบดอกแคบ ปลายกลีบสีขาวและไม่เสมอกัน จะมีกลิ่นหอมตอนกลางคืน และดอกจะร่วงหมดในตอนเช้า ผลมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ภายในมีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด ขยายพันธุ์โดยการตอนหรือปักชำ .....

กระดังงาสงขลา

..... เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวยาว กลีบรองดอกมีสามกลีบ สีเขียว มีขนาดสั้น กลีบใบเรียวสองชั้น ชั้นนอกมี 5 กลีบ ชั้นในมี 15 กลีบ ปลายกลีบเรียวแหลมโคนกลีบด้านในมีแต้มสีน้ำตาล ที่ฐานกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียติดอยู่ กระดังงา ออกดอกตลอดปี มีกลิ่นหอมอบอวล ขยายพันธุ์ด้วยการตอน .....

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย


วันนี้จะขอเก็บเรื่องราวของ "ดอกไม้" มาฝากกัน โดยเป็นเรื่องของดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลายคนคงจะเคยได้ยิน และรู้จักดอกไม้ชนิดนี้แล้ว ส่วนใครที่ยังไม่รู้ลองทายดูสิคะว่า คือดอกไม้อะไร??? ดอกไม้ที่ว่า คือ "ดอกบัวผุด"
สำหรับบัวผุดเป็นกาฝากชนิดหนึ่ง ที่อาศัยน้ำเลี้ยงจากรากของพืชชนิดอื่น จะโผล่เฉพาะดอกซึ่งเป็นดอกเดียวขึ้นจากพื้นดินให้เห็นระหว่างฤดูฝนหรือในระยะที่อากาศและพื้นที่ยังมีความชุ่มชื้นสูง คือ ระหว่างพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับลำต้นของบัวผุดมีลักษณะเช่นไร มีการเกาะหรือเชื่อมติดกับพืชที่มันอาศัยอยู่อย่างไร
ลักษณะของดอกบัวผุด เมื่อยังตูมอยู่จะคล้ายกับหม้อหรือกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่มีกลีบหนา จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก 70-80 เซนติเมตร ที่โคนของดอกจะมีกลีบนำสีน้ำตาลอมเหลืองเรียงสลับซับซ้อนกันอยู่มาก ภายในดอกจะมีแผ่นแบนคล้ายจาน ด้านบนมีปุ่มคล้ายหนามแหลมจานนี้จะซ้อนเกสรตัวผู้และรังไข่ไว้ด้านล่าง
ดอกบัวผุดเมื่อยังสดอยู่จะมีน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม กลีบดอกมีความหนาตั้งแต่ 0.5-1 เซนติเมตร นับว่าเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ค้นพบในประเทศไทย ในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย เคยมีรายงานว่า พืชสกุลเดียวกันนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกมากกว่า 100 เซนติเมตร ก็มี

จากผลสำรวจและวิจัย ของฝ่ายพฤษศาสตร์ กองบำรุง กรมป่าไม้ พบว่า บัวผุดพันธุ์ใหม่ ที่พบในประเทศไทยนี้ เป็นพืชกาฝากที่เกาะกินเฉพาะน้ำเลี้ยงจากรากของไม้เถาของว่านป่า "ย่านไก่ต้ม" เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในบางครั้งมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นดอกของย่านไก่ต้มซึ่งความจริงแล้วเถาย่านไก่ต้มเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์องุ่น (Vitidaceae) ที่มีเถาขนาดใหญ่พบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ที่มีฝนตกอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี พื้นดินเป็นดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายตามหุบเขาหรือบริเวณริมลำธาร ดอกย่านไก่ต้มมีสีเขียวอมเหลืองขนาดโตประมาณ 2 เท่าของหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น
จากการศึกษา พบว่า พันธุ์ไม้ตระกูลบัวผุด (Raffiesia) มีประมาณ 13-14 พันธุ์เท่านั้น บัวผุดที่พบในประเทศไทยได้รับการตั้งชื่อเป็นพันธุ์ของโลกเมื่อ พ.ศ.2527 โดย Dr.M.Meijer จากมหาวิทยาลัย Kentucky สหรัฐอเมริกา ตั้งชื่อพฤกษศาสตร์สากลเพื่อเป็นเกียรติแก่ Dr.A.F.G.Kerr นายแพทย์ชาวไอริช ผู้สำรวจพันธุ์ไม้ชนิดนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2472
ถึงแม้ว่าดอกบัวผุดจะมีกลิ่นเหม็นมากก็ตาม แต่เป็นพืชสมุนไพรที่หายากมากและมีคุณค่าสูง คือ นอกจากจะนิยมนำมาใช้ปรุงเป็นยาบำรุงสตรีหลังคลอด ให้มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงมีผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้วยังเป็นยาบำรุงสำหรับบุรุษเพศอีกด้วย
ในปัจจุบันดอกบัวผุดนับว่าจะหาดูได้ยากยิ่ง ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ป่าไม้ถูกทำลายลงไปอย่างมากทำให้สภาพนิเวศน์ของป่าเปลี่ยนไปมาก จะพบดอกบัวผุดบ้างเฉพาะตามอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเท่านั้น เช่น อุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จังหวัดระยอง เป็นต้น
ถึงแม้ "ดอกบัวผุด" จะเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นเหม็น แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว อย่างไรแล้วเสีย น่าจะให้ดอกไม้หายากอย่าง "ดอกบัวผุด" อยู่คู่ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ มากกว่าที่จะนำออกมาขาย หรือเก็บออกมาเพียงเพราะความแปลก ที่อยากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก

สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในโลก

สวน Keukenhof คือสวนที่สวยที่สุดในโลกได้รับสถานที่ที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ในประเทศเนเธอร์เลนด์และเป็นสวนที่มีคนกว่า 60 ล้านคนไปเพื่อชมสวนนี้ สวนนี้ยังได้รับความนิยมและมีผู้คนถ่ายรูปกับสวนนี้มากที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

สวนสวย และปฏิมากรรม เจริญตาและเจริญใจดีค่ะ
ขณะเดียวที่นี่ยังมีนิทรรศการที่ Willem Alexander ที่นี่เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับพันธุ์ไม้หัว เช่น ทิวลิปสายพันธุ์ต่างๆ ดอกอาซาเลีย กุหลาบพันปี ไฮเดรนเยีย ไลแลค ลิลลี่ แต่ก็ไม่ค่อยรู้จักว่า อะไรเป็นอะไรหรอกค่ะ แม้จะมีป้ายชื่อบอกก็เถอะ แต่สมองของสาวน้อย รอยหยักเริ่มตื้น ก็เลยจำมะค่อยได้ค่ะ ชมภาพกันดีกว่านะคะ

ดอกไม้สวยๆ ค่ะ

ไอเดียกิ๊บเก๋มั๊ยคะ


วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

10 ดอกไม้ที่อันตรายที่สุดในโลก

เห็นดอกไม้สวยๆ น่าเด็ดดมอย่างนี้
ขอบอกว่า ห้ามเข้าใกล้เป็นอันขาด
เพราะดอกไม้เหล่านี้มีพิษร้ายแรงมาก
บางชนิด อาจจะทำให้เราถึงตายได้เลยนะ บรื๋อ!!
อันดับ 1 Wisteria

ชื่อต้นไม้นี้ แปลกทีเดียวเชียว
แต่ก็นั่นแหละ เค้าบอกว่า ถ้าเผลอกินเข้าไปเมื่อไหร่
ท้องร่วง ท้องเสีย อาเจียน ปวดหัว เป็นไข้ วิงเวียนแน่
และถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทัน อาจจะช็อคแหงแก๋ได้เหมือน

อันดับ 2 Foxglove
ถุงมือหมาจิ้งจอก?
ดอกไม้สูงแค่สามฟุต สีสวยงามนี่แหละ อันตรายดีทีเดียว
แน่นอนว่า จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมาก
และปากไหม้ด้วย ถ้ากินเข้าไปนะ
บางคนก็จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ
ว่ากันว่า มันฆ่ากระต่ายได้เลยล่ะ

อันดับ 3 Hydrangea

อะไรกัน ไฮเดรนเยียออกจะสวยเนอะ
แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะมีอันตรายด้วย
มันสวยก็จริง แต่ถ้ากินเข้าไปล่ะก็
จะเนื้อตัวเย็นเฉียบ ครั่นเนื้อครั่นตัว คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน
บางคน อาจจะเกิดอาการช็อคได้เลยด้วยซ้ำไป
เพราะงั้น ดูแต่ตา มืออย่าต้อง นะจ๊ะ

อันดับ 4 Lily-of-the-valley

ว้าว! ชื่อเพราะจังเลย ดอกลิลลี่แห่งหุบเขาเนี่ย
แต่ติดอันดับสี่ได้ เชื่อว่าต้องอันตรายแน่ๆ
เค้าว่า ถ้ากินเข้าไปแล้ว หัวใจจะเต้นแรง คลื่นไส้ อาเจียน
บางคนที่กินมากๆ อาจจะเจอล้างท้องได้นะ

อันดับ 5 Anthurium

ถ้าหากว่า เผลอแตะโดนบริเวณไหนของผิวหนังล่ะก็ เสร็จแน่
ดอกไม้นี้ จะทำให้ร่างกายของคุณไหม้
ยิ่งถ้าโดนปากนี่ แย่ที่สุดเลย
หรือถ้ากินเข้าไปนี่ จะทำให้เสียงแหบเสียงแห้ง พูดไม่ได้ยินไปสักพักเลยล่ะ

อันดับ 6 Chrysanthemum

โอ้! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ดอกเบญจมาศจะติดอันดับกับเขาด้วย
แต่ว่าดอไม้นี้มีมากกว่า 200 ชนิดในสปีชี่ส์เดียว
เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่บางชนิดจะมีพิษร้าย
ถ้าอยากรู้ว่าดอกเบญจมาศชนิดไหนมีพิษ
เค้าว่าให้ดูที่กระต่าย เพราะมันจะไม่กล้าเข้ามากิน
แต่ถ้าโดนเข้าไป อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ และต้องหายาทา

อันดับ 7 Oleander

ทุกส่วนของต้นไม้นี้เป็นพิษหมด
แค่เผลอสูดควันที่เราเผามันเข้าไป ก็เจออันตรายแล้ว
ถ้าเผลอกินเข้าไปล่ะก็ จะเป็นอันตรายต่อหัวใจและระดับโพแทสเซียมในร่างกายได้

อันดับ 8 Ficus

ไฟคัส ต้นไม้เล็กๆ ที่มีใบเล็ก และมียางที่มีพิษเหลือร้าย
มันสามารถเติบโตได้หลากหลายที่ แม้แต่ในหม้อเก่าๆก็โตได้
ถ้าหากว่ายางของมันโดนผิวเข้าล่ะก็ จะเจ็บปวดมากทีเดียว
และต้องไปหาหมอเพื่อขอยาทาแก้ปวดแสบปวดร้อน

อันดับ 9 Rhododendron

เราก็ไม่แน่ใจชื่อภาษาไทยของมันเหมือนกัน
เพราะงั้น เราใช้ชื่อเต็มของมันดีกว่า เกิดอ่านผิดจะแย่ทีเดียว
ต้นไม้นี้มีดอกที่สวย รูปทรงเหมือนกระดิ่ง และจะงอกงามมากในฤดูใบไม้ผลิ
แต่ว่าใบของมันมีพิษร้ายเช่นเดียวกับน้ำหวาน
ถ้าเผลอกินเข้าไป อาจทำให้ริมฝีปากไหม้ได้
จากนั้นก็จะคลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว
ถ้าหากว่าเผลอกินเข้าไป ให้รีบดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยได้

อันดับ 10 Narcissus

ดอกนาร์ซิสซัสนี้ ว่ากันว่า มีพิษร้ายแรงมากมาย
มีหลายคนที่สับสนแยกไม่ออกระหว่างดอกไม้นี้กับหัวหอม
แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วล่ะก็ เจอดีแน่
ทั้งอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงอย่างแรง

ดอกไม้ในวรรณคดี

ดอกไม้ในวรรณคดีไทย หมายถึงดอกไม้ที่บรรดากวีไทยท่านได้พรรณาไว้เป็นบทร้อยกรองอย่างไพเราะในหนังสือวรรณคดี เช่น รามเกียรติ์ อิเหนา เงาะป่า ดาหลัง ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี บทเห่เรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก กาพย์ห่อโคลงนิราศทองแดง นิราสหริภุญชัย นิราศพระประธม นิราศสุพรรณ นิราศเมืองแกลง นิราศภูเขาทอง นิราศอิเหนา นิราศเจ้าฟ้าลิลิตพระลอ และลิลิตตะเลงพ่าย

เป็นความสามารถเฉพาะตัวของกวีไทย ที่ได้พรรณาชื่อดอกไม้หลายชนิดไว้อย่างไพเราะ ทั้งลักษณะ สีสัน กลิ่น ทำให้ผ้อ่านเกิดมโนภาพ ประทับใจ เหมือนได้ไปอยู่ ณ ที่ด้วย หวังว่าสิ่งที่เรียบเรียงมาคงจะเป็นประโยชน์และเกิดความประทับใจกับการพรรณาของกวีไทยบ้าง
ชื่อดอกไม้ วรรณคดีที่กล่าวถึง ถิ่นกำเนิด

กระดังงา รามเกียรติ์ นิราศกลาง ไทย ฟิลิปปินส์

กาหลง รามเกียรติ์ อิเหนา บทเห่เรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์
ลิลิตพระลอ ลิลิตตะเลงพ่าย นิราศขุนช้างขุนแผน
พระอมัยมณี ไทย พม่า

แก้ว รามเกียรติ์ อิเหนา ลิลิตพระลอ ลิลิตตะเลงพ่าย
ขุนช้างขุนแผน ไทย พม่า

กุหลาบ รามเกียรติ์ มัทนะพาธา พระอภัยมณี อิเหนา ทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา

จำปี รามเกียรติ์ เงาะป่า ลิลิตตะเลงพ่าย ขุนช้างขุนแผน ไทย มาเลเซีย อิโดนีเซีย

จำปา รามเกียรติ์ อิเหนา เงาะป่า ไทย จีน มาเลเซีย อินเดีย

ชงโค รามเกียรติ์ อิเหนา ลิลิตตะเลงพ่าย จีน อินเดีย

ช้องนาง รามเกียรติ์ ลิลิตพระลอ ทวีปแอฟริกา

นางแย้ม รามเกียรติ์ อิเหนา ลิลิตพระลอ ลิลิตตะเลงพ่าย ไทย พม่า อินโดนีเซีย

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดอกไม้น้ำแข็ง


ce Flowers เป็นอีก 1 ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สร้างความตกตลึงให้แก่ผู้พบเห็น เนื่องจากมันจะเกิดขึ้นบนทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็ง และเกิดมีเกร็ดน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นมาเป็น ช่อดอกไม้สีขาง กลีบบางผุดขึ้นมาเต็มพื้นน้ำแข็ง

สาเหตุ ของการเกิด ปรากฏการณ์ธรรมชาติดอกไม้น้ำแข็ง
--------------------------------------------------------------------------------
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดอกไม้น้ำแข็ง เป็นหนึ่งในรูปแบบของแผ่นน้ำแข็ง ที่พึ่งก่อตัวขึ้นใหม่
เมื่อไอน้ำอิ่มตัว ( Saturated Water Vapors ) ที่แทรกตัวขึ้นมาตามรอยแตกของแผ่นน้ำแข็ง
เมื่อไอน้ำอิ่มตัว สัมผัสกับอากาศเย็นจัดด้านบนก็จะเริ่มก่อตัวเป็นเกร็ดน้ำแข็ง
ส่วนเกลือบนที่อยู่บนผิวของเกร็ดน้ำแข็งก็จะเกิดการตกผลึก เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบนผิวของเกร็ดน้ำแข็ง
ผลึกเกลือที่เกิดขึ้นจะเป็นเสมือนแกนให้ให้ไอน้ำอิ่มตัว ที่เหลือเกาะเป็นเกร็ดน้ำแข็งใหม่ขึ้นสลับไปมาจนซ้อนทับกันจนคล้าย กลีบดอกไม้

ดอกซากศพ ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ( Titan Arum )


Titan Arum ดอกซากศพ หรือดอกบุกยักษ์ ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ " Amorphophallus titanum " ชื่อวิทยาศาสตร์แปลเป็นภาษาไทยได้ความหมายว่า ต้น "ลึงค์ยักษ์แปลง" คือแปลงกายให้เหมือนลึงค์แต่ไม่ใช่ลึงค์ เป็นพืชในเขตป่าร้อนชื้น ในพืชตระกูล "บัวผุด" (Rafflesia) เป็นดอกไม้เดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพืช พบขึ้นอยู่บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ( Indonesia ) ลำพังตัวช่อดอกแทงยอดตั้งขึ้นไปกว่า 3 เมตร จึงพืชสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากสัตว์บางชนิด ขณะเดียวกัน กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนที่หึ่งไปทั่ว กลับเย้ายวนแมลงบางชนิดให้มาดูดน้ำหวาน และผสมเกสรให้มัน กล่าวกันว่ากลิ่นของดอก Titan Arum คล้ายกับเนื้อเน่าสำหรับคน แต่กลับเป็นกลิ่นหอมยั่วน้ำลายแมลงเต่าที่ชอบกินของเน่าและแมลงวันให้มาช่วย ผสมเกสร กลีบดอกสีแดงเข้มยังช่วยลวงตาให้สัตว์นึกว่าเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่น่าตอม ด้วย

ดอกซากศพ ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในประเทศไทย

--------------------------------------------------------------------------------
ในเมืองไทย มีสวนนงนุชได้นำเข้ามาจากสวนพฤกษศาสตร์โบกอร์ (Bogor the botanic garden) ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อมาทดลองปลูกภายในสวนเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2546 เจริญเติบโตขึ้นวันละ 10 - 15 เซ็นติเมตร และดอกเริ่มบานเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2546 ลักษณะกลีบดอกด้านในเป็นสีแดงปนสีม่วง ดอกชนิดนี้บานแค่สองวัน ก่อนจะเหี่ยวเฉาไปตามธรรมชาติ วัดความสูงของดอกได้ 135 ซม. และดอกบานเต็มที่วัดเส้นรอบวงได้ 156 ซม. แต่หลังจากบุกยักษ์ออกดอกเป็นครั้งแรกแล้ว นักพฤกษศาสตร์ไม่อาจตอบได้ว่า อีกกี่ปีบุกยักษ์ต้นนั้นจึงจะออกดอกอีกครั้งหนึ่ง



วงจรชีวิต ดอกซากศพ ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก


ดอกกล้วยไม้เล็กที่สุดในโลก (Smallest Orchid)


Orchid กล้วยไม้ถือเป็นหนึ่งในพรรณไม้ที่งดงามที่สุดพันธุ์หนึ่ง มากมายไปด้วยสายพันธุ์ แต่เมื่อปี 2009 ได้มีการค้นพบ ดอกกล้วยไม้ เล็กที่สุดในโลก โดยบังเอิญ

รายละเอียด เกี่ยวกับ ดอกกล้วยไม้ เล็กที่สุดในโลก
--------------------------------------------------------------------------------
ดอกกล้วยไม้ เล็กที่สุดในโลก ถูกค้นพบซุกอยู่กับราก ของตัวอย่างกล้วยไม้พรรณอื่น
ดอกกล้วยไม้ นี้ค้นพบโดย นักนิเวศวิทยา(Ecologist) จากสถาบัน EcoMinga plant-conservation foundation
กล้วยไม้นี้ค้นพบที่ภูเขาในประเทศเอกวาดอร์ (Ecuador)
กล้วยไม้นี้มีขนาดดอกเพียง 2 มิลลิเมตร เท่านั้น

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

10 สุดยอดแหล่งซื้อ-ขายไม้ดอก ไม้ประดับ

1. ตลาดจตุจักร
2. ตลาดเทเวศร์
3. วงแหวนกาญจนาภิเษก
4. วงแหวนบางใหญ่
5. ศูนย์จำหน่ายไม้ดอกไม้ประดับนนทบุรี
6. คลอง 14 ธัญบุรี
7. ตลาดจตุจักร 2
8. ตลาดไท
9. กรมทหารราบที 11 รักษาพระองค์
10. ตลาดนัดธนบุรี

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

กินดอกไม้ป้องกันโรคภัย


ทั้งกุหลาบ ดาวเรือง ซ่อนกลิ่นให้สารต้านมะเร็งสูง มีกลิ่นหอม บำรุงหัวใจ นายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการสำนักบริหารแผนงานอาหารและโภชนาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส.เป็นผู้ประสานงานโครงการอาหารและโภชนาการ สนับสนุนการปลูกพืชปลอดสารเคมี ทั้งผักและดอกไม้ นายสง่ากล่าวถึงการนำดอกไม้มาประกอบอาหารว่า ดอกไม้มีความแตกต่างจากผักหรือใบไม้คือ มีสีหลาก หลายทั้งม่วง ส้ม แดง เหลือง ขาว เป็นการเพิ่มสารในกลุ่มไฟโตเคมีคอล เช่น สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งดอกไม้ที่รับประทานกันอยู่แล้ว เช่น ดอกแคแกงส้ม ดอกขจร ใช้ใส่ในไข่เจียว ดอกโสนผัดไข่ แต่โครงการดอกไม้กินได้ นำดอกไม้หลาก หลายชนิดมารับประทาน เช่น ดอกซ่อนกลิ่น ดอกกุหลาบ ชบา ดาวเรือง เข็ม กล้วยไม้ ทำได้หลากหลายเมนูตั้งแต่ กล้วยไม้ทอดกรอบ ต้มจืด ยำ "พืชผักสีม่วงแดงช่วยป้องกันมะเร็ง ส่วนเส้นใยช่วยระบบขับถ่ายดี ไม่ท้องผูก ดอกลีลาวดี หรือจำปานำมาชุบแป้งทอดสรรพคุณขับลม ขับปัสสาวะ อ่อนเพลีย ดาวเรือง บำรุงสายตา แก้ตาเจ็บ ไอ คางทูม ทาแผล หลอดลมอักเสบ น้ำมันหอมระเหยบำรุงหัวใจ แก้วิงเวียน ส่วนชบา ดาหลา สรรพคุณแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ กุหลาบ ดอกบัว มีน้ำมันหอมระเหยบำรุงหัวใจ ช่วยเจริญอาหาร ดอกลิลลี่คลายเครียด" นายสง่ากล่าว ดร.ธนะชัย พันธ์เกษมสุข หัวหน้าโครงการเกษตรปลอดภัยจากสารพิษที่ดอยแม่วาง อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า หลักในการเลือกดอกไม้กินได้ ให้เลือกตามภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ถ้าสัตว์กินได้ คนก็กินได้ เพิ่มความมั่นใจด้วยการเลือกดอกไม้ปลอดสารพิษ ไม่ฉีดพ่นสารเคมี ซึ่งโครงการฯได้จัดแปลงสาธิตไว้ที่ดอยแม่วาง เป็นแหล่งดูงานของเกษตรกร ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงาน สสส.ตั้งเป้าหมายให้เป็น แหล่งท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ รับประทานดอกไม้ นานาชนิด.

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

ดอกคำฝอย ทำได้มากกว่าลดน้ำหนัก

ดอกคำฝอย ทำได้มากกว่าลดน้ำหนักสรรพคุณที่ทำให้ดอกคำฝอยได้แจ้งเกิดในใจชองแฟนๆ มาจากความสามารถในการลดน้ำหนักลดไขมันในเส้นเลือด แต่ที่จริงแล้วมันยังมีประโยชน์ที่มากกว่านั้น
สลายลิ่มเลือดคนที่ชอบกินของหวานจะมีน้ำตาลในเลือดสูง จากนั้นเลือดจะเหนียวข้นจับตัวกลายเป็นลิ่มเลือด ทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตไม่ดี แต่คำฝอยมีสรรพคุณช่วยย่อยสลายลิ่มเลือดให้เล็กลงได้และป้องกันไม่ให้เลือดเกาะตัวกลายเป็นลิ่มเลือดข้นมาใหม่
หัวใจแข็งแรงเมื่อตัวยาจากดอกคำฝอยสลายลิ่มเลือดไปแล้ว ร่างกายก็จะมีเลือดไปเลี้ยงที่หัวใจมากขึ้น ทำให้หัวใจแข็งแรงและยังลดไขมันอุดตันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจไปในตัว
รักษาแผลกดทับตำราแพทย์โบราณบอกไว้ว่าให้ต้มดอกคำฝอย 500 กรัม ในน้ำ 7 ลิตรต้มด้วยไฟปานกลางประมาณ 2 ชั่วโมงจนดอกคำฝอยเป็นสีขาว ตักกากออกให้เหลือแต่น้ำ แล้วเคี้ยวด้วยไฟอ่อนๆ ต่อไปจนน้ำยาเหนียวเป็นกาว จากนั้นก็เอายาลงบนผ้า เอาไปปิดที่แผลกดทับ ทำติดต่อกันประมาณ 1 อาทิตย์ แผลกดทับก็จะหายเอง
ลดโคเลสเตอรอล คุณสมบัติอันโด่งดังของดอกคำฝอยคือการลดโคเลสเตอรอลนี่เอง แต่ถึงจะดื่มน้ำดอกคำฝอยแล้วก็ควรจะลดอาหารที่มีไขมันสูงควบคู่ไปด้วย ถึงจะลดความอ้วนได้ผล
หมายเหตุ ถึงแม้ดอกคำฝอยจะมีดีหลายอย่าง แต่ถ้าดื่มเอาเป็นเอาตายก็อาจจะกลายเป็นโทษได้เหมือนกัน เพราะดอกคำฝอยมีคุณสมบัติสลายลิ่มเลือด ถ้าดื่มมากๆ จะทำให้โลหิตจาง เลือดน้อย แถมยังเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจหวิว มึนศีรษะ กลายเป็นผู้หญิงขี้โรคไม่รู้ตัว

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

พรรณไม้ในรั้วมหาวิทยาลัย

ช่วงนี้น้องๆ หลายคนคงจะเตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับการเป็นนักศึกษาใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยไหน ก็ขอแสดงความยินดีกับนักศึกษาใหม่ด้วยค่ะ แล้วน้องๆ รู้หรือยังคะว่าพรรณไม้ประจำมหาวิทยาลัยของน้องๆ คือพรรณไม้อะไร แต่สำหรับน้องๆ ที่ผิดหวังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็อย่าเพิ่งท้อค่ะ เล็งไว้ก่อนว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยไหน มีพรรณไม้อะไรเป็นพรรณไม้ประจำมหาวิทยาลัย ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย -จามจุรี


มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ -หางนกยูง

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ -นนทรี
มหาวิทยาลัยขอนแก่น -กัลปพฤกษ์

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ -ทองกวาว
มหาวิทยาลัยทักษิณ -ทองหลางลาย

มหาวิทยาลัยนเรศวร -เสลา



มหาวิทยาลัยบูรพา -มะพร้าว
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม -ราชพฤกษ์


มหาวิทยาลัยมหิดล กันภัยมหิดล


มหาวิทยาลัยแม่โจ้ -อินทนิน



มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง- หอมนวล(ลำดวน)
มหาวิทยาลัยรามคำแหง -สุพรรณิการ์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ -สาละ
มหาวิทยาลัยศิลปา -จัน
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ -ครีตรัง
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช - ทองหลางลาย

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี -กันเกรา

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี - ปีบทอง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี - ธรรมรักษา

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี่เจ้าคุณทหารลาดกระบัง -แคแสด

มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าลาดกระบังฯ -ประดู่แดง